ฟังท่าน ช. เข้าใจคือการบรรลุธรรมแล้วใช่ไหม

เพื่อให้เข้าใจการหลอกลวงของ ท่าน ช. นิพพานชาตินี้กันเถอะ  ต้องไปดูการตอบคำถามเรื่องนิพพานของท่าน ช. กัน

ข้อมูลเอามาจากหน้าเว็บ "ตอบคำถามนิพพาน" ของท่าน ช. นิพพานชาตินี้กันเถอะเอง

มีคนถาม ท่าน ช. นิพพานชาตินี้กันเถอะไว้ดังนี้

ถาม : คลิปการบรรยายที่ฅนธรรมดายกตัวอย่างเรื่อง ที่หลวงปู่หลวงพ่อบรรลุธรรมเป็นอรหันต์ง่ายๆ เช่น ท่านฟังแค่ประโยคเดียวบรรลุธรรมเลย หรือเห็นใบไม้ใบเดียวล่วงบรรลุเป็นอรหันต์ทันที อยากถามฅนธรรมดาว่า

1. แล้วคนปกติธรรมดาอย่างเราๆ  ที่ฟังฅนธรรมดาบรรยายแล้วเข้าใจสัจธรรม ตามที่ฅนธรรมดาบรรยายมาว่า แก่ เจ็บ ตาย เป็นทุกข์ เกิดอีกก็ทุกข์อีก ฟังแค่ครั้งเดียวแล้วก็เข้าใจตามนี้ว่าเป็นจริงตามที่ฅนธรรมดาพูดมา

แบบนี้จะเรียกว่า บรรลุธรรม (เหมือนหลวงปู่หลวงพ่อ) ได้หรือไม่ หรือตัวเราเข้าใจอย่างเดียวไม่พอ จะต้องให้จิตเค้าเข้าใจด้วย  แล้วจิตเกิดอาการเบื่อหน่ายคลายกำหนัดในโลก ในสิ่งสมมุติอย่างถาวร ถึงจะเรียกว่าบรรลุธรรม

แล้วต้องขึ้นอยู่กับคนด้วยหรือเปล่าครับว่าคน ๆ นั้นจะต้องมีอินทรีย์แก่กล้ามากถึงจะฟังครั้งเดียวเท่านั้นแล้วบรรลุธรรม (เหมือนเห็นใบไม้ร่วงใบเดียวก็บรรลุ)

คือทันทีที่ได้ฟังประโยคนี้แล้วจิตเกิดอาการเบื่อหน่ายคลายกำหนัดในโลก ในสิ่งสมมุติ ตัดทุกอย่างทันทีทันใดได้อย่างถาวร ใช่ไหมครับ 


มาดูคำตอบของ ท่าน ช. นิพพานชาตินี้กันเถอะ ซิว่า จะตอบว่ายังไง

ตอบ : ข้อที่ 1. การบรรลุธรรม ก็คือ การเข้าใจในธรรมดาของธรรมชาติทั้งปวงในโลกว่า ไม่เที่ยง ไม่เป็นอมตะ ไม่สามารถยึดมั่นถือมั่นเป็นเราเป็นของเราได้นั่นเอง...

คนในสมัยก่อน และในสมัยนี้ ส่วนใหญ่เขายึดมั่นถือมั่นว่า นั่นลูกเรา เมียเรา สามีเรา พ่อ แม่ ของเรา สมบัติของเรา พูดง่าย ๆ ก็คือ การมีตัวกู ของกู สูงมากนั่นเอง

ในสมัยโน้น (สมัยพระพุทธเจ้ามีชีวิต) มีลัทธิต่าง ๆ มากมาย ล้วนสอนให้ยึดมั่นถือมั่นกันทั้งนั้น แต่พอมีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นในโลก พระองค์สอนให้ละ ให้วาง ให้เข้าใจว่า ในโลกนี้ไม่มีอะไรเป็นเราเป็นของเรา ยึดเมื่อไหร่ก็ทุกข์เกิดเมื่อนั้น

นั่นแหละ คนที่เข้าใจตามที่พระพุทธเจ้าทรงสอน เรียกว่า บรรลุธรรม..

ข้อให้พิจารณาคำตอบนี้ให้ดีนะครับ "นั่นแหละ คนที่เข้าใจตามที่พระพุทธเจ้าทรงสอน เรียกว่า บรรลุธรรม.."  นี่คือคำตอบที่โกหกหลอกลวงอย่างไม่รู้ว่าจะบรรยายอย่างไร

ถ้าเอาหลักฐานของท่าน ช. นิพพานชาตินี้กันเถอะ พวกที่เรียนจบเปรียญ 3 - 9 ก็บรรลุธรรม บรรลุนิพพานกันไปหมดแล้ว

พวกที่เรียนในมหาวิทยาลัยสงฆ์อีกเท่าไหร่  คนไทยอีกเท่าไหร่ ก็คงบรรลุธรรม บรรลุนิพพานกันไปหมดแล้ว

การ "เข้าใจตามที่พระพุทธเจ้าทรงสอน" นั้น มันเป็นเรื่องหนึ่ง การปฏิบัติตามคำสอนจนกระทั่งกิเลสหมด สังโยชน์หมด นั้นเป็นเรื่องหนึ่ง

จะสังเกตว่า ท่าน ช. นิพพานชาตินี้กันเถอะไม่เคยพูดเรื่องกิเลส เรื่องอนุสัย เรื่องอาสวะ เรื่องสังโยชน์เลย

มันต้องการหลอกลวงคนง่าย  มันก็เลยหลอกเอาแค่นั้น

ทีนี้บุคคลใดก็ตามในโลก ไม่ว่าจะเป็นพระ นักบวช ฤาษี ดาบส คนธรรมดา ๆ ในโลก ถ้าเข้าใจดังที่กล่าวไปแล้ว และยอมรับว่า ไม่มีอะไรให้เราต้องกลับมาสู่โลกนี้อีกแล้ว เพราะโลกนี้ไม่มีอะไรเที่ยง

ก็แค่นั้นแหละกับคำว่า บรรลุธรรม (เข้าใจธรรมชาติทั้งปวง จิตออกจากการยึดในธรรมทั้งปวง) ..

ถ้าจะว่ากันตามหลักภาษาศาสตร์  เราก็ต้องพูดว่า "การบรรลุธรรม" ของท่าน ช. นิพพานชาตินี้กันเถอะ  เป็นไปได้ แต่เป็นการบรรลุธรรมของมัน

ไม่ใช่การบรรลุธรรมตามคำสอนของพระพุทธเจ้า

แต่สำหรับผู้ที่จะต้องทำหน้าที่สอนสั่งผู้อื่นมากมายนั้น เขาอาจจะได้รับคุณสมบัติพิเศษเพิ่มเติม (ญาณรู้หรือเครื่องรู้) เพื่อทำหน้าที่ตอบปัญหาในโลก นอกโลก ให้แก่ผู้ที่สงสัยได้

อันนี้เป็นเรื่องคนละเรื่องกับคำว่า บรรลุธรรมนะครับ..

อ้าว.....ฉิบหายแล้ว  

ความที่มึงต้องการหลอกประชาชน  มึงเอาพวกที่ได้อภิญญาออกไปจากการบรรลุพระอรหันต์เลยหรือ..

ไอ้ท่าน ช. เขียนส่วนนี้ขึ้นมา เพื่อจำกัดให้ "การบรรลุธรรม" ของมันเอง ดูง่ายๆ  ใครอยาก "แดกด่วน" เรื่องนิพพานก็ไปหามัน  เดี๋ยวก็ได้ไปนิพพาน

แต่ผมยืนยันว่า "นิพพานของไอ้ท่าน ช. ไม่ใช่นิพพานของพระพุทธเจ้า" 

ไอ้ท่าน ช. มันต้องการหลอกลวงประชาชน มันก็ผลิตการบรรลุธรรมของมันขึ้นมา ผลิตนิพพานของมันขึ้นมา

เพราะฉะนั้นคนที่บรรลุธรรมก็อาจจะไม่มีหน้าที่สอนสั่งผู้อื่นก็ได้ รู้ได้เฉพาะตน เขาก็เรียกว่า บรรลุธรรมนั่นเอง... ...

ส่วนใครผู้ใดในโลก จะบรรลุ (เข้าใจ) ในธรรมทั้งปวงได้รวดเร็วหรือชักช้า ก็ขึ้นอยู่กับกรรม เช่น พระมหาโมคคัลลานะกับพระสารีบุตร มีอินทรีย์แก่กล้าพอ ๆ กัน

แต่คนหนึ่งบรรลุภายในวันเดียว อีกคนหนึ่งบรรลุภายใน 15 วัน นั่นมันเป็นเรื่องกรรมกำหนด นั่นเอง

ตรงนี้ก็ตอบผิดอีก

การที่ในสมัยพุทธกาลมีคนบรรลุธรรมกันง่ายมาก

เช่น ท่านฟังแค่ประโยคเดียวบรรลุธรรมเลย หรือเห็นใบไม้ใบเดียวล่วงบรรลุเป็นอรหันต์ทันที

ในความเป็นจริงมันไม่ได้ง่ายอย่างนั้น

เพราะ บุคคลดังกล่าวเหล่านั้น ต้องเกิดมาสร้างบารมีหลายอสงไขยชาติ จนกระทั่งบารมี 30 ทัศเต็มแล้ว  

เมื่อบารมีเต็มแล้ว พระพุทธองค์ทรงแนะนิดเดียวก็บรรลุพระอรหันต์ได้

รับรองว่า ไม่ใช่เรื่องกรรมกำหนดอย่างที่ท่าน ช. นิพพานชาตินี้กันเถอะมันเพ้อไป.

กลุ่มบุคคลที่สร้างบารมี 30 ทัศเต็มแล้วนี้ ถ้าปรารถนาพุทธภูมิ (ต้องสร้างบารมีมากกว่าพวกต้องการเป็นพระอรหันต์)  ท่านก็จะบรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณด้วยตัวของท่านเอง


แต่เมื่อตั้งความปรารถนาเป็นเพียงพระอรหันต์  เมื่อบารมี 30 ครบแล้ว ก็ต้องมาเกิดเพื่อให้พระพุทธเจ้าทรงสอน.




กูคือคนธรรมดาที่บ้าไปแล้ว

ในบทความ "ท่าน ช. นิพพานชาตินี้เปลี่ยนไป๋"  ผมได้กล่าวไปแล้วว่า ไอ้ท่าน ช. นิพพานชาตินี้กันเถอะ  พยายามพัฒนาการหลอกลวงให้ดูดีมีมาตรฐานยิ่งขึ้น

จากการที่ไปอ้าง "หลวงพ่อปาน", "หลวงพ่อฤาษีลิงดำ" แบบมั่วนิ่ม เพราะ ไอ้ท่าน ช. ตัวนี้ ไม่เคยพบท่านทั้งสองเลย   อ้างว่า อ่านหนังสือแล้วก็มีอภิญญาห่าเหวอะไรของมันไปเลย

ก็มาเป็นการอ้างถึงพระพุทธเจ้าแต่เพียงอย่างเดียว

อย่างไรก็ดี  ความโง่ ความบ้าของท่าน ช. มันก็ต้องมีประเด็นที่จะชี้ให้ถูกความหลอกลวงของมันจนได้   เพราะ มันเสือกไปหลอกลวงผิดๆ ที่ว่า "นิพพานชาตินี้กันเถอะ" นั่นแหละ

คนไทยเชื่อเรื่องนิพพาน อยากไปนิพพาน ที่คนไทยเขารู้ว่า "มันไปได้ยาก" มันไม่ได้ง่าย อย่างที่มึงว่าเลย ไอ้ ช.

วันนี้ เรามาดูการพยายามที่จะหลอกลวงประชาชนของไอ้ ท่าน ช. ผู้นี้ ในหน้าเว็บชื่อ "นิพพาน"  กันต่อ

กูคือ ฅนธรรมดา ขอนำท่านผู้อ่านเข้าสู่ ความรู้สู่ความพ้นทุกข์ ในรูปแบบการเผยแผ่ความรู้สู่ความพ้นทุกข์อย่างง่ายๆ ลัด ๆ สั้น ๆ ตามแบบฉบับของกูคือ ฅนธรรมดา "นิพพานชาตินี้กันเถอะ"

อยากจะบอกว่า ไอ้ท่าน ช. นิพพานชาตินี้กันเถอะ "กูคือ ฅนธรรมดา" ว่ามึงนั้น เป็นคนธรรมดาแบบบ้าอย่างควายว่ะ

คือ มันบ้า มันโง่แบบควายปัญญาอ่อน  มันก็จะพยามยามจะหลอกลวงคนอื่นด้วยมันสมองแบบควายๆ อย่างที่มันคิด

แรกๆ อาจจะมีคนมาลองของแปลกกันมากหน่อย  แต่ต่อมาเขาต้องรู้ว่า "มึงบ้า" เขาจึงหนีกันไปหมด

คำพูดประโยคนี้ แค่เป็นสื่อสมมุติให้คนสนใจเรื่อง "นิพพาน”

การนึก หรือพูดคำว่า นิพพาน เมื่อไหร่ ก็ถือว่าท่านกำลังระลึกนึกถึงนิพพานเป็นอารมณ์ (อุปสมานุสติกรรมฐาน)

อันนี้ก็ไม่จริง   อุปสมานุสสติอยู่ในสมถกรรมฐาน 40  คืออยู่ในอนุสสติ 10 

การที่จะฝึกกรรมฐานที่ว่า "อุปสมานุสสติกรรมฐาน"  เราต้องอยู่ในการฝึกสมถกรรมฐาน แล้วระลึกถึงอายตนะนิพพาน

การพูดถึงนิพพาน หรือการนึกถึงนิพพานอย่างที่ไอ้ท่าน ช. ว่ามานั้นไม่ใช่ "อุปสมานุสสติกรรมฐาน"  แน่ๆ

ณ วันนี้คนที่ชื่อ กูคือ ฅนธรรมดา กล้าที่จะประกาศต่อหน้าฟ้าดินว่า “ไม่เกิดแล้ว"

"ผมคนธรรมดาที่ไม่ธรรมดา" ก็ขอประกาศต่อหน้าจอคอมพิวเตอร์ว่า ไอ้ท่าน ช. นิพพานชาตินี้กันเถอะ มันต้องเกิดแน่ๆ

เมื่อมันตาย มันจะไปอบายภูมิก่อนเลย นรก-เปรต-อสุรกาย-เดรัจฉาน ไอ้ท่าน ช. นิพพานชาตินี้กันเถอะ มันจะไปเวียนตายเวียนเกิดอีกนานแสนนาน

แล้วมันต้องเกิดมาเป็นคนอีก ด้วยเศษกรรมของมันที่พยายามหลอกคน มันก็จะถูกเขาหลอกไปอีกนับภพ นับชาติไม่ถ้วน

มีจิตใจเคารพ ศรัทธาต่อความดีขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า จอมศาสดาเอกของโลก พระองค์กล้าสละความเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ สละทุกอย่างออกบวช จนรู้แจ้งในเหตุแห่งธรรมทั้งปวง

บัดนี้ ฅนธรรมดา ได้เข้าใจในความประสงค์ของพระพุทธเจ้าเช่นกัน จึงมุ่งเน้นพูดหรือบรรยายเฉพาะหัวข้อที่เป็นแก่น  เนื้อๆ เท่านั้น ไม่เอาเนื้อเน่า หรือน้ำมาพูดกันอีกต่อไป

แม้แต่คำว่า  “ มรรค ๘ ” แปลว่า การดำเนินชีวิตอย่างถูกต้อง ๘ ข้อ ไม่ต้องไปอ่านว่า มรรคมีองค์แปดให้มันยุ่งยาก

อ้าว...ไอ้สันขวานเขียนอย่างนี้ได้อย่างไร  

มึงว่ามึงเคารพศรัทธาพระพุทธเจ้า  มรรค 8 นั้น พระพุทธเจ้าเป็นผู้ค้นพบ แล้วทรงนำมาสั่งสอนประชาชน  มึงจะ "ไม่ต้องไปอ่านว่า มรรคมีองค์แปดให้มันยุ่งยาก" ไอ้อย่างไร

มึงไม่เข้าใจมรรค 8  มึงไม่รู้จักมรรค 8 แล้วมึงจะบรรลุพระอรหันต์ได้อย่างไร  

ไอ้ที่ว่า "ฅนธรรมดา ได้เข้าใจในความประสงค์ของพระพุทธเจ้าเช่นกัน " มึงก็โกหกเอาแบบหน้าด้านๆ

สรุปแล้วก็คือคำว่า คิดดี พูดดี ทำดี อยู่ในคำนี้ทั้งหมด เพราะสรรพสิ่งมันคือสิ่งเดียวกัน ถ้าเข้าใจถึงที่สุด

ตอนนี้อยากจะเรียก "ไอ้ควาย ช." เสียแล้ว  

"คิดดี พูดดี ทำดี" มันมีระดับของอยู่ด้วย  พูดง่ายๆ ว่า มันต้องมีหัวข้อธรรมะที่ต้องปฏิบัติอีกมากมายมหาศาล 

มึงสอนให้ "คิดดี พูดดี ทำดี" อย่างที่มึงสอนอยู่นี้  สมมุติว่า สาวกมึงไม่หมดตัวเพราะมึงหลอกแดกเสียก่อน  มันก็ได้แค่สวรรค์เท่านั้น  ไปนิพพานไม่ได้

แต่สาวกของมึงนั้น  มันไม่แค่หมดตัวหรอก มันจะตกนรกด้วย เพราะ ความที่ไปเชื่อมึงนี่แหละ

ใครที่เคยพูดว่า ฅนธรรมดา สอนนิพพานชาตินี้ไม่ถูกต้อง มันต้องมีมรรค ๘ ต้องมีอริยสัจ ๔ ต้องทำตามพุทธวจนเท่านั้นจึงจะนิพพานได้ ถ้าไม่สอนเรื่องอริยสัจ ๔ มรรคมีองค์มีเอว ๘ อย่าง นิพพานไม่ได้ดอก

ว่ากันไปนั่นเลยตามประสาคนเจ้าตำรา

แต่กูคือ ฅนธรรมดา ไม่ได้เรียน ไม่ได้ท่องจำจากตำรา จึงไม่พูดไม่สอนตามแนวทางปริยัติธรรมเปรียญธรรม ให้มันยุ่งยากวุ่นวาย

แต่กูเรียนรู้มาด้วยวิถีธรรมทางจิต อภิญญารู้แจ้งเหนือสมมุติมายา จึงสอนอย่าง กูคือ ฅนธรรมดา นิพพานอย่างฅนธรรมดา

ไม่เอาอริยะ โสดา สกิทาคา อนาคา อรหันต์ เอาแค่เรื่อง..ทำอย่างไรให้พ้นทุกข์จากโลกนี้ได้ตลอดกาล..? ...พอ...จบ ...ว่าง...

มึงจะหลอกประชาชนทั้งที มึงก็น่าจะลงทุนอ่านให้มากกว่านี้สักหน่อย 

การที่มึงว่า "กูเรียนรู้มาด้วยวิถีธรรมทางจิต อภิญญารู้แจ้งเหนือสมมุติมายา" ถ้ามึงเก่งจริงอย่างนั้น มึงยังจะต้องมาขายเสื้อผ้า  หลอกเรี่ยไรเงินประชาชนอยู่อีกหรือ

มึงก็น่าจะแสดงการเหาะเหิรเดินอากาศ หรืออะไรที่มึง "เรียนรู้มาด้วยวิถีธรรมทางจิต อภิญญารู้แจ้งเหนือสมมุติมายา"  เงินทองก็จะไหลมาเทมาแล้ว

การบรรยาย พูด สอน เกี่ยวกับความพ้นทุกข์ "นิพพานชาตินี้" จึงไม่มุ่งเน้นเอาเรื่องทาน ศีล สมาธิ ซึ่งเป็นสะเก็ด เปลือก กระพี้ มาสอนอีก ให้ซ้ำซ้อนกับบุคคลอื่นที่เขียนตำรา และเปิดสำนักสอน อบรม กันอยู่แล้วเต็มบ้านเต็มเมือง

ไอ้ควาย ช.  การที่คนอื่น สอนซ้ำ สอนซากในเรื่องหัวข้อธรรมะสำคัญๆ เช่น มรรค 8 นั้น  ไม่ใช่เหตุผลที่มึงจะ "ไม่กล่าวถึง" หัวข้อธรรมะเหล่านั้น

มึงต้องกล่าวถึง  แต่มึงก็อย่ากล่าว อย่าสอนให้ซ้ำซากอย่างที่มึงว่าก็แล้วกัน

อันที่จริงเลยนั้น  "มึงไม่รู้" แต่มึงไม่ใส่ใจการในการศึกษาค้นคว้า อยากจะหลอกแดกประชาชนเอาง่ายๆ 

มึงก็เลยอ้างไปอย่างนั้น

กูคือ ฅนธรรมดา มุ่งเน้นเฉพาะเรื่องประเด็นสำคัญ ตรงสาเหตุที่สิทธัตถะออกบวช เพราะมองเห็นเทวทูตทั้ง ๔ คือ เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นความทุกข์ จึงสละราชสมบัติ ออกแสวงหาวิธีการที่จะดับทุกข์ให้สัตว์โลก

และวิธีการดับทุกข์ตลอดกาล ตามวิธีการของพระพุทธเจ้า ก็คือ ตัดขันธ์ ๕ ตัวเดียวนิพพานได้

ไอ้ควาย ช.  หัวข้อธรรมะที่มึงบอกว่า "ไม่สำคัญ" นั้น  พระพุทธเจ้าทรงสอนเอง และพระองค์ท่านว่า "สำคัญ"

กูคนธรรมดาที่ไม่ธรรมดาอยากจะบอกกับมึงว่า "อยากหลอกคนก็ลงทุนศึกษาให้มันมากกว่านี้"

มึงมีปัญญา มีความรู้อยู่แค่นี้  คนเขาฟังมึง ครั้ง 2 ครั้ง เขาก็หนีมึงกันหมด..





ท่าน ช. นิพพานชาตินี้เปลี่ยนไป๋

ผมวิพากษ์วิจารณ์ ท่าน ช. นิพพานชาตินี้กันเถอะไว้ 8 บทความ แล้วผมก็ไปวิพากษ์วิจารณ์ "เหยื่อ" รายอื่นๆ ต่อไป

คำว่า "เหยื่อ" นั้นหมายถึงว่า ผมพิจารณาแล้วว่า "สอนผิด" บ้าง "โกหก" บ้าง "เอาศาสนามหากิน" บ้าง  ทำนองนั้น

ที่ผมทำแบบนั้น เป็นเพราะ ผมต้องการให้ความรู้ความจริงเกี่ยวกับศาสนาพุทธที่ถูกต้อง

เมื่อเห็นว่า สิ่งไหนผิด สิ่งไหนไม่ถูก สิ่งไหนโกหก สิ่งไหนหลอกลวง มันก็ต้องเอามาเผยแพร่ให้รู้กันโดยทั่วไป

ในช่วงนี้ ขณะที่ค้นหาความรู้อยู่ นึกถึง ท่าน ช. นิพพานชาตินี้กันเถอะขึ้นมาได้ จึงลองค้นด้วย google ดู

ผลปรากฏออกมาว่า "ท่าน ช. นิพพานชาตินี้กันเถอะเปลี่ยนไป๋"  แต่ไม่ได้กลับตัวกลับตัวเป็นคนดีหรอก ยังหลอกลวงประชาชนเหมือนกัน  ด้วยวิธีการหลากหลายขึ้น

การเปลี่ยนไปประการแรก

จากภาพด้านบน "ท่าน ช. นิพพานชาตินี้กันเถอะ", "จิตปฐม คนธรรมดา", "กูคือ คนธรรมดา"  [ไอ้ท่าน ช. มันใช้ชื่อหลายชื่อมาก] ขายของเสียแล้ว

ไอ้ท่าน ช. มึงว่ามึงจะไม่เกิดอีกแล้วในชาตินี้  ถามจริง แล้วมึงจะมาขายของอย่างนี้ทำไม น้ำผึ้งก็ขาย ไอ้ห่า.......... เสียภาพลักษณ์หมด

หรือว่า หมดมุขที่จะหลอกประชาชนแบบเอาเงินมาฟรีๆ  ก็ต้องหาของมาขายเพื่อแลกเงิน

การเปลี่ยนไปประการที่สอง

ท่าน ช. นิพพานชาตินี้แน่ๆ ของมันเอง เรี่ยไรเอาดื้อๆ

ท่านผู้มีจิตศรัทธาที่ต้องการร่วมบริจาคค่าใช้จ่ายในกิจกรรมต่างๆ ร่วมกับฅนธรรมดาเผยแผ่ความรู้พัฒนาจิตสู่ความพ้นทุกข์ แก่ เจ็บ ตาย ชาติสุดท้าย สู่จิตพี่น้องในโลกนี้

ก็ขออนุโมทนายินดีเป็นอย่างยิ่งมา ณ ที่นี้ ธนาคารกสิกรไทย สาขาเซ็นทรัลพระราม 3 นายพงศ์พัฒน์ สีชุ่มใจ บัญชีสะสมทรัพย์ เลขที่ xxx - x - xxxxx - x

ผมก็ไม่ว่า เมื่อก่อนท่าน ช. นิพพานชาตินี้แน่ๆ ของมันเอง เรี่ยไรแบบนี้หรือเปล่า  แต่การขอเงินดื้อๆ แบบนี้ แสดงว่า  ท่าน ช. ถึงขาลงแบบสุดๆ กันแล้ว

หมดทางหากินกันแล้วว่าอย่างนั้นเถอะ

การเปลี่ยนไปประการที่สาม

ท่าน ช. ประกาศวางไมค์ทองคำเสียแล้ว 


นี่ก็แสดงว่า  การหลอกลวงของ ท่าน ช. มาถึงบทสุดท้ายแล้ว  คงหลอกใคร เกณฑ์ใครให้มาฟังอีกไม่ได้แล้ว 

ก็จึงประกาศเรียกแขกออกมาถึงขนาดนั้น

การเปลี่ยนไปประการที่สี่

ท่าน ช. พยายามพัฒนาการหลอกลวงขึ้นไปอีก  ขอให้ดูขอมูลเก่าที่ผมวิพากษ์วิจารณ์ไปแล้ว  ขอบอกก่อนว่า ข้อมูลส่วนนั้นถูกลบไปแล้ว

ผมได้เขียนไว้ในบทความ "ข่าวสารถึงพุทธะทั้งหลาย"  ไว้ดังนี้

ท่าน ช. หลอกแดกประชาชน ได้เขียนเรื่อง “ข่าวสารถึงพุทธะทั้งหลาย” ไว้ดังนี้

ข้าพเจ้าในนามสมมุติว่า ท่าน ช เป็นเพียงคนธรรมดาคนหนึ่ง เหมือนกับคนทุกคนบนโลกใบนี้ และมีความรู้เกี่ยวกับพุทธศาสนาตามตำราน้อยมาก

จากหนังสือประวัติหลวงปู่ปานวัดบางนมโค ที่เขียนโดยหลวงปู่ฤาษีลิงดำวัดท่าซุงเพียงเล่มเดียว ที่สามารถพลิกจิตทำให้ข้าพเจ้าได้มีโอกาสรู้จักคำว่า นิพพาน และรู้จักพระพุทธเจ้าผู้เป็นต้นพระวงศ์แห่งจิตนิพพาน “ปฐมบรมศาสดา”

พระองค์เป็นพระพุทธเจ้าองค์แรกของโลกของจักรวาล ซึ่งไม่มีต้นแบบการปฏิบัติตามมาก่อน เป็นเหตุให้พระองค์ต้องบำเพ็ญความดีด้วยกำลังใจอันสูงส่งยิ่งนัก และใช้เวลาในการสั่งสมความดีด้วยความอดทน และมีความเพียรเป็นหัวใจแห่งการปฏิบัติอันยาวนาน

เพื่อเป็นต้นแบบแห่งพุทธะ ทำหน้าที่รื้อสัตว์ขนสัตว์ (แนะนำพร่ำสอนถึงวิธีชำระจิตให้ละบาปลอยบุญ) ออกจากทะเลแห่งความทุกข์ สืบมาจนถึงทุกวันนี้

ในเว็บไซต์ของ ท่าน ช. หน้าเว็บชื่อ "นิพพาน"  ไอ้ท่าน ช. นี่ไม่กล่าวถึง "หลวงพ่อปาน", "หลวงพ่อฤาษีลิงดำ" อีกแล้ว  แต่ไปอ้างถึงพระพุทธเจ้าโดยตรงเลย

บอกไว้ก่อนว่า เป็นการอ้างที่พากันลงนรกลึกไปอีก ของ ท่าน ช. กับคณะของท่าน

ผมคิดว่า ผมรู้สาเหตุถึงการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว   การที่ ท่าน ช. ไปอ้างถึง "หลวงพ่อปาน", "หลวงพ่อฤาษีลิงดำ" เพื่อต้องการอ้างอิงถึง "สมเด็จองค์ปฐม" นั้น  มันเป็นหลักฐานที่อ่อนมาก เป็นจุดอ่อนที่สุด

ผมก็โจมตีไปแล้วว่า "มึงไปขโมยอาจารย์ของเขามา"

มันจะอ้างได้อย่างไรว่า  ไม่เคยพบ ไม่เคยเรียน แต่ไปอ่านหนังสือแล้ว "ฟินเหลือเกิน"  ฟินจนเกิดอภิญญา จะเข้านิพพานกันเลยทีเดียว

คนที่เชื่อมันก็สมองหมา ปัญญาควายกันจริงๆ

แต่คนที่ไม่เชื่อ และวิพากษ์วิจารณ์กลับเช่นผม คงมีมาก  ท่าน ช. ก็ต้องพัฒนาการหลอกลวงขึ้นไปอีก  แต่ก็ไม่รอดครับ

ข้อให้ดูข้อความนี้ เปรียบเทียบข้อความเก่าด้านบน

องค์ราชาสิทธัตถะจึงตัดสินพระทัยด้วยความเด็ดเดี่ยวเสด็จออกจากเมือง ยอมสละราชสมบัติ  พระมเหสี และพระราชโอรส โดยไม่มีความลังเลเลยแม้แต่น้อย และมิได้คิดปรึกษาผู้ใดในการตัดสินใจครั้งสำคัญนี้

พระองค์เดินทางออกจากเมืองสู่ป่า เพื่อเสาะแสวงหาความรู้สู่ความหลุดพ้นโลก (โมกขธรรม) ออกจากทะเลแห่งความทุกข์ตลอดกาล...

หลังจากที่ทรงดำเนินขั้นตอนแห่งการเสาะแสวงหาความเข้าใจ (บรรลุ) รู้แจ้งโลกว่า ทำอย่างไรจึงจะพ้นทุกข์

พระองค์ทรงทดลองทำตามวิธีการของพวกพราหมณ์ผู้รู้ทั้งหลายในสมัยนั้นยุคนั้นที่เชื่อกันว่า ทำอย่างนี้สิ ทำอย่างนั้นสิ จึงจะบรรลุอรหันต์

พระองค์ทรงดำรงตนอยู่ในฐานะเช่นคนธรรมดา ทรงทดสอบ ทดลอง ทรมานตนหลากหลายสารพัดวิธีการต่างๆ นานา มี อดมื้อกินมื้อ อดหลายมื้อกินมื้อ เป็นต้น ก็ยังทรงมิได้บรรลุรู้แจ้งโลกแต่ประการใด

จวบจนวันเวลาล่วงเลยผ่านไปนานนับได้ 6 ปี พระองค์จึงได้เข้าสู่สภาวะจิตรู้แจ้งโลก ที่ภาษาของมนุษย์ทั่ว ๆ ไปเรียกว่า "ตรัสรู้" หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "บรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ"

แต่สำหรับความรู้แห่งกูคือ ฅนธรรมดา ขอเรียกอย่างง่าย ๆ อย่างคนไทย ๆ ว่า "รู้แจ้งโลก"

หลังจากนั้นเป็นต้นมา พระองค์ทรงทำหน้าที่ศาสดาสอนสั่งมนุษย์ผู้ปรารถนาความพ้นทุกข์อีกเป็นเวลานานถึง 45 ปีเต็ม จึงเสด็จดับขันธปรินิพพาน คือ ดับทั้งกายดับทั้งจิต ว่างเปล่าตลอดกาล...

กูคือ ฅนธรรมดา ขอนำท่านผู้อ่านเข้าสู่ ความรู้สู่ความพ้นทุกข์ ในรูปแบบการเผยแผ่ความรู้สู่ความพ้นทุกข์อย่างง่าย ๆ ลัด ๆ สั้น ๆ ตามแบบฉบับของกูคือ ฅนธรรมดา "นิพพานชาตินี้กันเถอะ"

คำพูดประโยคนี้ แค่เป็นสื่อสมมุติให้คนสนใจเรื่อง "นิพพาน” การนึก หรือพูดคำว่า นิพพาน เมื่อไหร่ ก็ถือว่าท่านกำลังระลึกนึกถึงนิพพานเป็นอารมณ์ (อุปสมานุสติกรรมฐาน)

จะเห็นได้ว่า  ไอ้ท่าน ช. นี่ ไม่กล่าวถึง "หลวงพ่อปาน", "หลวงพ่อฤาษีลิงดำ" ในการโกหกหลอกลวงชุดใหม่ของมัน  มันไปอ้างถึงพระพุทธเจ้าอย่างเดียว

อย่างไรก็ดี  ไอ้ท่าน ช. นี่มันคงเป็นควายนรกมาเกิด  มันไม่ฉลาดเท่าไหร่นัก  แต่มันกล้าหลอกลวงประชาชน 

การหลอกลวงของมัน จึงไม่แนบเนียนพอ  มีจุดอ่อนมากมาย ผมจะได้นำมาเสนอต่อไป..