ฟังท่าน ช. เข้าใจคือการบรรลุธรรมแล้วใช่ไหม

เพื่อให้เข้าใจการหลอกลวงของ ท่าน ช. นิพพานชาตินี้กันเถอะ  ต้องไปดูการตอบคำถามเรื่องนิพพานของท่าน ช. กัน

ข้อมูลเอามาจากหน้าเว็บ "ตอบคำถามนิพพาน" ของท่าน ช. นิพพานชาตินี้กันเถอะเอง

มีคนถาม ท่าน ช. นิพพานชาตินี้กันเถอะไว้ดังนี้

ถาม : คลิปการบรรยายที่ฅนธรรมดายกตัวอย่างเรื่อง ที่หลวงปู่หลวงพ่อบรรลุธรรมเป็นอรหันต์ง่ายๆ เช่น ท่านฟังแค่ประโยคเดียวบรรลุธรรมเลย หรือเห็นใบไม้ใบเดียวล่วงบรรลุเป็นอรหันต์ทันที อยากถามฅนธรรมดาว่า

1. แล้วคนปกติธรรมดาอย่างเราๆ  ที่ฟังฅนธรรมดาบรรยายแล้วเข้าใจสัจธรรม ตามที่ฅนธรรมดาบรรยายมาว่า แก่ เจ็บ ตาย เป็นทุกข์ เกิดอีกก็ทุกข์อีก ฟังแค่ครั้งเดียวแล้วก็เข้าใจตามนี้ว่าเป็นจริงตามที่ฅนธรรมดาพูดมา

แบบนี้จะเรียกว่า บรรลุธรรม (เหมือนหลวงปู่หลวงพ่อ) ได้หรือไม่ หรือตัวเราเข้าใจอย่างเดียวไม่พอ จะต้องให้จิตเค้าเข้าใจด้วย  แล้วจิตเกิดอาการเบื่อหน่ายคลายกำหนัดในโลก ในสิ่งสมมุติอย่างถาวร ถึงจะเรียกว่าบรรลุธรรม

แล้วต้องขึ้นอยู่กับคนด้วยหรือเปล่าครับว่าคน ๆ นั้นจะต้องมีอินทรีย์แก่กล้ามากถึงจะฟังครั้งเดียวเท่านั้นแล้วบรรลุธรรม (เหมือนเห็นใบไม้ร่วงใบเดียวก็บรรลุ)

คือทันทีที่ได้ฟังประโยคนี้แล้วจิตเกิดอาการเบื่อหน่ายคลายกำหนัดในโลก ในสิ่งสมมุติ ตัดทุกอย่างทันทีทันใดได้อย่างถาวร ใช่ไหมครับ 


มาดูคำตอบของ ท่าน ช. นิพพานชาตินี้กันเถอะ ซิว่า จะตอบว่ายังไง

ตอบ : ข้อที่ 1. การบรรลุธรรม ก็คือ การเข้าใจในธรรมดาของธรรมชาติทั้งปวงในโลกว่า ไม่เที่ยง ไม่เป็นอมตะ ไม่สามารถยึดมั่นถือมั่นเป็นเราเป็นของเราได้นั่นเอง...

คนในสมัยก่อน และในสมัยนี้ ส่วนใหญ่เขายึดมั่นถือมั่นว่า นั่นลูกเรา เมียเรา สามีเรา พ่อ แม่ ของเรา สมบัติของเรา พูดง่าย ๆ ก็คือ การมีตัวกู ของกู สูงมากนั่นเอง

ในสมัยโน้น (สมัยพระพุทธเจ้ามีชีวิต) มีลัทธิต่าง ๆ มากมาย ล้วนสอนให้ยึดมั่นถือมั่นกันทั้งนั้น แต่พอมีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นในโลก พระองค์สอนให้ละ ให้วาง ให้เข้าใจว่า ในโลกนี้ไม่มีอะไรเป็นเราเป็นของเรา ยึดเมื่อไหร่ก็ทุกข์เกิดเมื่อนั้น

นั่นแหละ คนที่เข้าใจตามที่พระพุทธเจ้าทรงสอน เรียกว่า บรรลุธรรม..

ข้อให้พิจารณาคำตอบนี้ให้ดีนะครับ "นั่นแหละ คนที่เข้าใจตามที่พระพุทธเจ้าทรงสอน เรียกว่า บรรลุธรรม.."  นี่คือคำตอบที่โกหกหลอกลวงอย่างไม่รู้ว่าจะบรรยายอย่างไร

ถ้าเอาหลักฐานของท่าน ช. นิพพานชาตินี้กันเถอะ พวกที่เรียนจบเปรียญ 3 - 9 ก็บรรลุธรรม บรรลุนิพพานกันไปหมดแล้ว

พวกที่เรียนในมหาวิทยาลัยสงฆ์อีกเท่าไหร่  คนไทยอีกเท่าไหร่ ก็คงบรรลุธรรม บรรลุนิพพานกันไปหมดแล้ว

การ "เข้าใจตามที่พระพุทธเจ้าทรงสอน" นั้น มันเป็นเรื่องหนึ่ง การปฏิบัติตามคำสอนจนกระทั่งกิเลสหมด สังโยชน์หมด นั้นเป็นเรื่องหนึ่ง

จะสังเกตว่า ท่าน ช. นิพพานชาตินี้กันเถอะไม่เคยพูดเรื่องกิเลส เรื่องอนุสัย เรื่องอาสวะ เรื่องสังโยชน์เลย

มันต้องการหลอกลวงคนง่าย  มันก็เลยหลอกเอาแค่นั้น

ทีนี้บุคคลใดก็ตามในโลก ไม่ว่าจะเป็นพระ นักบวช ฤาษี ดาบส คนธรรมดา ๆ ในโลก ถ้าเข้าใจดังที่กล่าวไปแล้ว และยอมรับว่า ไม่มีอะไรให้เราต้องกลับมาสู่โลกนี้อีกแล้ว เพราะโลกนี้ไม่มีอะไรเที่ยง

ก็แค่นั้นแหละกับคำว่า บรรลุธรรม (เข้าใจธรรมชาติทั้งปวง จิตออกจากการยึดในธรรมทั้งปวง) ..

ถ้าจะว่ากันตามหลักภาษาศาสตร์  เราก็ต้องพูดว่า "การบรรลุธรรม" ของท่าน ช. นิพพานชาตินี้กันเถอะ  เป็นไปได้ แต่เป็นการบรรลุธรรมของมัน

ไม่ใช่การบรรลุธรรมตามคำสอนของพระพุทธเจ้า

แต่สำหรับผู้ที่จะต้องทำหน้าที่สอนสั่งผู้อื่นมากมายนั้น เขาอาจจะได้รับคุณสมบัติพิเศษเพิ่มเติม (ญาณรู้หรือเครื่องรู้) เพื่อทำหน้าที่ตอบปัญหาในโลก นอกโลก ให้แก่ผู้ที่สงสัยได้

อันนี้เป็นเรื่องคนละเรื่องกับคำว่า บรรลุธรรมนะครับ..

อ้าว.....ฉิบหายแล้ว  

ความที่มึงต้องการหลอกประชาชน  มึงเอาพวกที่ได้อภิญญาออกไปจากการบรรลุพระอรหันต์เลยหรือ..

ไอ้ท่าน ช. เขียนส่วนนี้ขึ้นมา เพื่อจำกัดให้ "การบรรลุธรรม" ของมันเอง ดูง่ายๆ  ใครอยาก "แดกด่วน" เรื่องนิพพานก็ไปหามัน  เดี๋ยวก็ได้ไปนิพพาน

แต่ผมยืนยันว่า "นิพพานของไอ้ท่าน ช. ไม่ใช่นิพพานของพระพุทธเจ้า" 

ไอ้ท่าน ช. มันต้องการหลอกลวงประชาชน มันก็ผลิตการบรรลุธรรมของมันขึ้นมา ผลิตนิพพานของมันขึ้นมา

เพราะฉะนั้นคนที่บรรลุธรรมก็อาจจะไม่มีหน้าที่สอนสั่งผู้อื่นก็ได้ รู้ได้เฉพาะตน เขาก็เรียกว่า บรรลุธรรมนั่นเอง... ...

ส่วนใครผู้ใดในโลก จะบรรลุ (เข้าใจ) ในธรรมทั้งปวงได้รวดเร็วหรือชักช้า ก็ขึ้นอยู่กับกรรม เช่น พระมหาโมคคัลลานะกับพระสารีบุตร มีอินทรีย์แก่กล้าพอ ๆ กัน

แต่คนหนึ่งบรรลุภายในวันเดียว อีกคนหนึ่งบรรลุภายใน 15 วัน นั่นมันเป็นเรื่องกรรมกำหนด นั่นเอง

ตรงนี้ก็ตอบผิดอีก

การที่ในสมัยพุทธกาลมีคนบรรลุธรรมกันง่ายมาก

เช่น ท่านฟังแค่ประโยคเดียวบรรลุธรรมเลย หรือเห็นใบไม้ใบเดียวล่วงบรรลุเป็นอรหันต์ทันที

ในความเป็นจริงมันไม่ได้ง่ายอย่างนั้น

เพราะ บุคคลดังกล่าวเหล่านั้น ต้องเกิดมาสร้างบารมีหลายอสงไขยชาติ จนกระทั่งบารมี 30 ทัศเต็มแล้ว  

เมื่อบารมีเต็มแล้ว พระพุทธองค์ทรงแนะนิดเดียวก็บรรลุพระอรหันต์ได้

รับรองว่า ไม่ใช่เรื่องกรรมกำหนดอย่างที่ท่าน ช. นิพพานชาตินี้กันเถอะมันเพ้อไป.

กลุ่มบุคคลที่สร้างบารมี 30 ทัศเต็มแล้วนี้ ถ้าปรารถนาพุทธภูมิ (ต้องสร้างบารมีมากกว่าพวกต้องการเป็นพระอรหันต์)  ท่านก็จะบรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณด้วยตัวของท่านเอง


แต่เมื่อตั้งความปรารถนาเป็นเพียงพระอรหันต์  เมื่อบารมี 30 ครบแล้ว ก็ต้องมาเกิดเพื่อให้พระพุทธเจ้าทรงสอน.




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น